จากกรณีที่นายสมนึก และนายสมคิด ลือประดิษฐ์ สองพี่น้องฝาแฝดนักข่าวอาวุโส ของจังหวัดนนทบุรี ได้ลงพื้นที่ไปทำข่าว “เสี่ยเค้ก” เจ้าของร้านขายบะหมี่เกี๊ยว ที่ได้สวมใส่ทองเส้นใหญ่ เส้นละ 10 บาท จำนวน 2 เส้น และข้อมือ 5 บาท จำนวน 1 เส้น รวมมูลค่าแล้ว 1 ล้านบาท รวมถึงหน้าร้านได้ติดป้ายไว้ว่า “คนท้อง ผู้พิการคนเร่ร่อนสามารถรับประทานได้ฟรี“ จึงได้นำเสนอข่าวเสี่ยเค้ก พ่อค้ายืนขายบะหมี่สวมใส่ทองเส้นใหญ่ มูลค่าที่คอและข้อมือ รวม 1 ล้านบาท ซึ่งในการนำเสนอข่าว เป็นไปในเชิงชื่นชมเจ้าของร้านบะหมี่ว่าใจดี ขายมานานจนรวย จนสะสมทองได้หลายบาท และยังมีน้ำใจ กับคนที่ด้อยกว่า แต่เมื่อส่งข่าวไปให้สถานีออกอากาศ ปรากฏว่าข่าวช่องอื่นๆก็นำเสนอตามที่ตนเองได้สอบถามข้อมูลมา แต่มีสื่อช่องหนึ่งที่ตนไม่ได้อยู่ในสังกัด กลับนำภาพของตนไปออกข่าว แล้วนำเสนอข้อมูลที่ไม่เป็นไปตามที่ตนได้คุยกับแหล่งข่าวมา และกลับทำให้แหล่งข่าวเสื่อมเสียชื่อเสียง มีความเครียด และวิตกกังวล
โดยนายสมนึก เปิดใจอีกว่า ตนไปทำข่าว ”เสี่ยเค้ก“ เจ้าของร้านบะหมี่เกี๊ยว เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 67 ในวันนั้นเดินทางออกมาจากการทำข่าวที่สำนักงานของทนายรณณรงค์ที่หมู่บ้านกฤษดานครพอดี จึงแวะกินบะหมี่เกี๊ยว ที่หน้าปากทางเข้าหมู่บ้าน แล้วเห็นเสี่ยเค้กสวมใส่ทองเส้นใหญ่ ที่หน้าร้านมีป้ายติดให้คนพิการ คนท้อง คนเร่ร่อนกินฟรี จึงเห็นว่าเป็นประเด็นน่าจะเอามาเขียนเป็นข่าวได้ พอได้สัมภาษณ์จึงทราบอีกว่าเสี่ยเค้ก มีความใฝ่ฝันจะซื้อทองเส้นละ 100 บาทอีก และได้ไปทดลองสวมใส่มาแล้ว เพราะไปเปลี่ยนสร้อยทองที่ร้านทองพอดีและมีรูปภาพตอนที่ไปลองใส่ ทองเส้นละ 100 บาท ยิ่งทำให้เป็นเรื่องน่าสนใจ จึงได้ขอสัมภาษณ์และทำข่าวเสี่ยเค้ก
ขณะที่สัมภาษณ์ก็ได้มีการสอบถามถึงที่มาที่ไปของทองเส้นใหญ่ ซึ่งทางเสี่ยเค้กก็ชี้แจ้งว่าเริ่มจากได้เงินมรดกขายที่ดิน 8 หมื่นบาท เมื่อหลาย 10 ปีก่อน รวมถึง ตนกับภรรยาขายก๋วยเตี๋ยวมานาน 32 ปี เก็บเล็กผสมน้อยจากทองเส้นเล็กๆ กลายเป็นทองเส้นใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่หรูหราในชีวิตของเสี่ยเค้ก ซึ่งเงินที่นำไปซื้อทองเส้นใหญ่ขนาดนี้มาจากน้ำพักน้ำแรงจากการทำงานเก็บเงิน ใช้เวลา 30 กว่าปีในการซื้อทอง ทั้งหมด 25 บาท มูลค่า 1 ล้านบาท และต้องบอกว่าตนซื้อทองตั้งแต่ราคาทอง ต่ำกว่า 20,000 บาท และก็ได้ยืนยันว่าตนเองนั้นทำอาชีพสุจริต ไม่ได้พึ่งมาใส่ทองและร่ำรวยผิดปกติอย่างใด
จากนั้นตนก็ส่งข่าวตามที่ได้สัมภาษณ์ไป ให้กับสื่อช่องต่างๆ ที่อยู่ในสังกัดของตัวเอง ซึ่งก็ปรากฎข่าวตามที่ลงรายละเอียดไป จนกระทั่งช่วงเช้าตัวแหล่งข่าวเอง คือ“เสี่ยเค้ก” โทรมาหาบอกกับตนว่าทำไมเขียนข่าวไม่เหมือนกับที่ให้ข้อมูลไปเลย กลับกลายเป็นว่า เหมือนตนเป็นคนผิดที่ใส่สร้อยทองเส้นใหญ่ เหมือนเป็นการเรียกสรรพากรให้มาตรวจสอบเสี่ยเค้ก
ตนจึงตกใจและรีบไปตรวจสอบข้อมูลก็พบว่ามีสำนักข่าวหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในสังกัดของตนเองนำภาพ ข่าวของตน เป็นภาพเดียวกันจากที่ถ่ายในโทรศัพท์มือถือของตนเองซึ่งวันนี้ก็ได้นำหลักฐานมาให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเปลี่ยนแปลงข้อมูลไปในแง่ลบ ลักษณะที่บอกว่าเสี่ยเค้กงานเข้าสรรพากรจะลงตรวจ ขณะที่ตนพยายามนำเสนอข้อมูลในแง่มุมที่เสียเค้กเป็นคนขยันมัธยัสถ์ จนสามารถเก็บเงินซื้อทองได้เส้นใหญ่เบ้อเริ่มได้ ซึ่งตนคิดว่าเรื่องนี้ไม่เป็นธรรมกับตนเอง เหมือนไปทำให้แหล่งข่าวรู้สึกไม่ดี ทำให้เสียเค้กเองกินไม่ได้นอนไม่หลับ เครียด และอย่างน้อยใจว่า ตนเป็นพ่อค้าขายบะหมี่ จะใส่ทองเส้นใหญ่ไม่ได้เลยหรือ นายสมนึกยังบอกอีกว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตนเองถูก Copy ภาพข่าวและเนื้อหาไปออกอากาศ โดนมาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ยอมไม่ได้ ถือว่าสุดทน เพราะไม่ได้กระทำกับตนเพียงคนเดียว ยังทำให้แหล่งข่าวเสียหายอีกด้วย จึงต้องเดินทางมาแจ้งความเอาผิด
ด้านน.ส.ธนิดา แจ้งจำรัส หรือทนายนินู เปิดเผยว่า ในกรณีดังกล่าวเบื้องต้นที่ได้ตรวจสอบข้อมูลตามหลักฐานพบว่าเป็นความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ภาพถ่าย คลิปวีดีโอ โดยนำภาพถ่าย และคลิปวีดีนั้น ไปทำซ้ำ เผยแพร่ต่อสาธารชนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของตามพ.ร.บ ลิขสิทธิ์ แต่ถ้าหากมีการเจรจากันด้วยดีก็สามารถยอมความกันได้ด้วยเช่นกัน
ภาพ/ข่าว ฉัตรมงคล สิงห์โต ผู้สื่อข่าว จ.นนทบุรี