ที่ มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคมถ.แจ้งวัฒนะ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี น.ส.ปุม กุนเทีย อายุ 30 ปี สาวชาวกัมพูชา ได้หอบเอกสารเดินทางมาร้องเรียนกับทางนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิฯ ว่าที่ร้อยตรีรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานมูลนิธิฯ เพื่อขอให้ช่วยเหลือ หลังถูกอดีตสามีชาวไทย ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสทิ้งไปเมื่อกลางปี ขณะที่กำลังตั้งท้องได้ 6 เดือน หนำซ้ำยังหอบเงินที่ร่วมสร้างกว่า 1 ล้านบาทหนี พร้อมส่งเอกสารขับไล่ให้ออกจากบ้านที่ซื้อด้วยกัน ราคา 5 ล้านบาท อ้างว่าตนเองเป็น “ลูกจ้าง” ไม่ได้จ้างงานแล้วให้ออกจากพื้นที่ไป จึงเกิดความเครียดจนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และคิดจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง
น.ส.ปุม กุนเทีย เปิดใจทั้งน้ำตาว่า ตนรู้จักกับนายเจมส์ อายุ 29 ปี ผ่านทางแอปฯ เมื่อประมาณปี 2562 หลังจากที่มีการนัดเจอกัน และพูดคุยกันก็คบหาดูใจ เป็นแฟนได้ 1 ปี ก็เริ่มวางแผนอนาคต ตัดสินใจเช่าแผงสินค้าภายในตลาดแห่งหนึ่ง (ตลาดไท) และร่วมกันลงทุนสร้างฐานะ ซื้อบ้านด้วยกัน ราคาประมาณ 5 ล้านบาท ตนเป็นชาวกัมพูชา จึงไม่สามารถทำเอกสารได้ จึงให้นายเจมส์ทำเรื่องเอกสารให้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสัญญาเช่าแผงขายผลไม้ในตลาด สัญญาเช่าซื้อบ้าน และเปิดบัญชีธนาคารต่างๆ ด้วยความที่ตนไว้ใจ และนายเจมส์ดูเป็นคนดี ตนอยากฝากอนาคตไว้ที่นายเจมส์ และตั้งใจจะมีลูกด้วยกัน
หลังจากใช้ชีวิตด้วยกัน 4-5 ปี ตนได้ทำงานและเก็บเงินร่วมกันเกือบหลักล้าน พอช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา หลังจากที่ตนตั้งครรภ์ได้ประมาณ 1-2 เดือน จึงเริ่มมีปัญหา มีปากเสียงกัน ตนคิดว่าตัวเองท้องจึงเริ่มมีเรื่องของฮอร์โมน รวมไปถึงปัญหาเก่าที่ระหองระแหงกัน นายเจมส์พยายามจะตีตัวออกห่าง และขอเลิก ตนสงสารลูกเลยพยายามยื้อมาตลอด จนเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นายเจมส์มาบอกเลิก และออกจากบ้านไป ในตอนนั้นตนเองยังพยายามจะขอพูดคุย แต่นายเจมส์ขาดการติดต่อ และมีการโทรมาหา ไล่ตนให้ย้ายออกจากบ้านหลังดังกล่าวทันที แต่ด้วยความที่ตนเสียเปรียบเพราะบ้านเป็นชื่อของนายเจมส์ ทั้งที่ตนเป็นคนผ่อนบ้านเดือนละ 17,800 บาท ตนขอเจรจาว่าจะย้ายออกให้หลังจากคลอดลูก
นอกจากนั้น นายเจมส์ได้ไปบอกเลิกสัญญาแผงขายของที่ตลาดแห่งหนึ่ง โดยที่ตัดช่องทางการทำมาหากินของตน ตนไม่มีที่ทำกิน ขาดรายได้ หนำซ้ำยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายส่วนตัว ทั้งเรื่องของการตั้งครรภ์ ฝากครรภ์ และภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ หลังจากนั้นตนเห็นภาพสตอรี่ทางไอจีของนายเจมส์ ที่ไปเที่ยวกับหญิงสาวรายหนึ่ง พร้อมลงรูปไปนั่งกินชาบูด้วยกัน หลังจากขอแยกทางกับตนได้ 1 เดือน ตนจึงทักไปหาหญิงสาวรายดังกล่าว ซึ่งทางฝ่ายหญิงก็ไม่ทราบเรื่อง และขอโทษตน
ที่ช้ำใจสุดคือนายเจมส์ได้มีการส่งเอกสารระบุข้อความขอให้ตนเองย้ายออกจากบ้าน และในเอกสารระบุว่าตนเองเป็น “ลูกจ้าง“ อ้างว่าตนไม่ได้เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของนายเจมส์แล้ว พร้อมระบุว่าจะมีการตัดน้ำ และตัดไฟ ภายในสิ้นเดือน สิงหาคม 2567 ทันทีที่ตนเห็นเอกสารฉบับดังกล่าวนั้น ยอมรับว่ารู้สึกเสียใจ และเจ็บใจมาก มองว่าเป็นการไม่ให้เกียรติในฐานะแม่ของลูก เพราะตนไม่ได้เป็นลูกจ้างแต่เป็นภรรยาของนายเจมส์ ที่ผ่านมาตนดูแลและช่วยนายเจมส์มาตลอด วันนี้กลับมาพยายามไล่ให้ตนออกไปจากชีวิต ตนจึงอยากจะเรียกร้องขอความเป็นธรรม พร้อมยืนยันว่าตนไม่ได้ต้องการทรัพย์สมบัติที่ทางนายเจมส์เอาไป แต่อยากให้นายเจมส์เข้ามาไกล่เกลี่ย และพูดคุย เพราะตนต้องการให้ลูกในท้องมีพ่อ และให้ฝ่ายชายรับรองบุตรให้สัญชาติไทยกับลูกของเขา ตนพร้อมที่จะเลี้ยงดูและรับผิดชอบเอง ซึ่งหลังจากนี้ตนไม่ขอกลับไปอยู่กินกับนายเจมส์อีก ที่ผ่านมาตนยอม เพราะรัก แต่วันนี้เมื่อนายเจมส์กล้าที่จะไล่ตนออกจากบ้าน และตัดช่องทางทำมาหากิน ต้องลำบากขายทรัพย์สินที่มี และมาเช่าห้องเช่ารายเดือน เดือนละ 8,000 บาท อยู่ ทั้งที่เคยอยู่บ้านที่สร้างมาด้วยกัน ก็พอเข้าใจ
ด้านทนายรณณรงค์ กล่าวว่า แนวทางหลังจากนี้ทางมูลนิธิฯ จะมอบหมายให้ว่าที่ร้อยตรีรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานฯ เป็นผู้นัดเจรจาไกล่เกลี่ย เพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัวไม่ต้องถึงขั้นฟ้องร้องต่อศาลกัน น่าจะสามารถเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้ รวมถึงเรื่องการแบ่งทรัพย์สินที่ทั้งคู่หามาร่วมกันในระหว่างที่อยู่กินด้วยกัน และเรื่องการรับผิดชอบลูกในครรภ์ ที่ทางฝ่ายชายจะต้องมาเซ็นรับรองบุตร ให้เด็กมีสัญชาติไทยเพื่อที่จะได้สิทธิ์ต่างๆในประเทศขั้นพื้นฐาน
ซึ่งระหว่างที่น.ส.ปุม กุนเทีย ได้พูดคุยกับทางมูลนิธิฯ ว่าที่ร้อยตรีรภัสสิทธิ์ รองประธานมูลนิธิรณรงค์ฯ ได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังนายเจมส์ อดีตสามีของผู้เสียหาย ซึ่งทางนายเจมส์ไก้รับสาย และพูดคุยสั้นๆ อ้างว่าจะขอติดต่อกลับมาทางมูลนิธิในช่วงเย็น ก่อนจะวางสายไป
ภาพ/ข่าว ฉัตรมงคล สิงห์โต ผู้สื่อข่าว จ.นนทบุรี